ความโดดเด่นที่ทำให้ รูเล็ต กลายเป็นหนึ่งในเกมยอดนิยมประจำคาสิโนก็คือรูปแบบการวางเดิมพันที่หลากหลาย เปิดโอกาสให้นักเดิมพันได้กระจายความเสี่ยงอย่างเต็มที่ รวมถึงกติกาที่เรียบง่ายจนแทบไม่ต้องใช้สูตรรูเล็ตให้วุ่นวาย แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนทำกำไรได้อย่างจริงจังเพียงแค่หยิบมือเท่านั้น นั่นอาจเป็นเพราะว่าพวกเขายังไม่เข้าใจถึง 10 จุดอ่อนรูเล็ต เคล็ดลับทำกำไรของนักเดิมพันมืออาชีพอย่างแท้จริง ว่าแต่จุดอ่อนนั้นมีอะไรบ้าง ต้องเล่นอย่างไรถึงจะมีโอกาสทำกำไร ไปดูกันเลย
Black – Red
เคยสังเกตกันหรือไม่ว่าทั้งบนวงล้อและบนโต๊ะรูเล็ตนอกจากเลข 0 ที่มีพื้นหลังเป็นสีเขียวแล้ว ตัวเลข 1 – 36 จะมีพื้นหลังเป็นสีดำ 18 ช่อง และสีแดงอีก 18 ช่อง ในจุดนี้เราจะทายว่าลูกบอลตกที่ช่องสีอะไรระหว่างสีดำ (Black) กับสีแดง (Red) ถือว่าเป็นจุดที่มีความเสี่ยงต่ำมาก ๆ เพราะมีอัตราแพ้ชนะครึ่งต่อครึ่ง หากมีการใช้สูตรเดินเงินเข้ามาช่วยจะทำให้มีโอกาสทำกำไรพร้อมกับลดความเสี่ยงที่จะเสียเดิมพันได้เป็นอย่างดี
Even – Odd
รูปแบบการเล่นจะคล้ายกับ Black – Red ต่างกันตรงที่จะต้องทายว่าผลรางวัลที่ออกมาจะเป็นเลขคู่ (Even) หรือคี่ (Odd) กฎสำคัญคือเมื่อใดก็ตามหากรูเล็ตออก 0 ก็จะถือว่าเจ้ามือชนะทันที ส่วนเรื่องโอกาสแพ้ชนะและอัตราจ่ายก็ยังคงเหมือนการเล่นแบบทายสี ก็ถือว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจในการทำกำไรมาก ๆ เพราะมีความเสี่ยงต่ำ และยังสามารถนำสูตรเดินเงินต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ทำกำไรได้เช่นกัน
Big – Small
หากในบ้านเราจะเรียกว่าการแทงสูง-ต่ำ หรือบางโต๊ะอาจเรียกว่าใหญ่-เล็กตามชื่อของมันแบบตรง ๆ โดยแบ่งหมายเลขออกเป็นสองกลุ่มคือกลุ่มต่ำ (Small) ได้แก่เลข 1-18 และกลุ่มสูง (Big) ได้แก่ 19-36 เป็นอีกจุดหนึ่งที่นิยมเล่นกันมาก เพราะมีความเสี่ยงต่ำเทียบเท่ากับ 2 จุดแรก และมีอัตราจ่ายสูงกว่าคือ 1 : 2 เมื่อนำมาใช่ร่วมกับสูตร Winning Martingale ยิ่งเพิ่มโอกาสทำกำไรเป็นเท่าตัว
Straight Up
แม้ว่าจะไม่ใช่จุดอ่อนไปเสียทีเดียว แต่จุดนี้สามารถทำกำไรได้มากถึง 35 เท่า ด้วยวิธีการง่าย ๆ แค่วางเดิมพันที่เลขใดเลขหนึ่งเท่านั้นจาก 37 หมายเลข เห็นกำไรสูงแบบนี้บอกเลยว่าโอกาสชนะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด และเป็นจุดที่ไม่เหมาะกับการใช้สูตรเดินเงินอย่างมาก แต่เราจะเพิ่มโอกาสในการทำกำไรด้วยการวางเดิมพันน้อย ๆ กระจายไปหลาย ๆ หมายเลขแทน
Dozen
อีกหนึ่งจุดอ่อนที่มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ โอกาสทำกำไรมีสูง หลักการของ Dozen คือเราจะเล่นแบบเลขชุด ซึ่งบนโต๊ะรูเล็ตจะมีการแบ่งหมายเลข 1-36 ออกเป็น 3 โซน โซนละ 12 หมายเลข ได้แก่ 1-12, 13-24 และ 25-36 หากลูกเหล็กตกลงบนช่องหมายเลขที่อยู่ในโซนที่เราทายไว้ก็จะได้รับรางวัล 2 เท่าของเดิมพันทันที โอกาสถูกรางวัลง่ายขนาดนี้ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ค่อยนิยมเอามาเล่นกับสูตรเดินเงิน เพราะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น
Column
รูปแบบการเล่นจะคล้ายกับ Dozen แต่ต่างกันที่ชุดตัวเลข ใน Column จะมีการแบ่งตัวเลขไว้ 3 แถว คือ
แถวที่ 1 มี 1, 4, 7, 10, 13, 16, 19, 22, 25, 28, 31 และ 34
แถวที่ 2 มี 2, 5, 8, 11, 14, 17, 20, 23, 26, 29, 32 และ 35
แถวที่ 3 มี 3, 6, 9, 12, 15, 18, 21, 24, 27, 30, 33 และ 36
สำหรับอัตราจ่ายของการเล่นในจุดนี้จะอยู่ที่ 1 : 2 นั่นหมายความว่าถ้าลูกบอลหยุดบนหมายเลขที่อยู่ในแถวที่เราทายไว้ ก็ถือว่าชนะและได้รางวัลกลับมา 2 เท่านั่นเอง
Split
จุดนี้จะคล้ายกับการแทงโต๊ดสองหมายเลขในเกมอื่น ๆ กติกาคือต้องแทงหมายเลขที่อยู่ติดกันเท่านั้นจะเป็นแนวนอนหรือแนวตั้งก็ได้ หากชนะก็ได้รับเงินรางวัล แม้จะมีความเสี่ยงมากกว่า 6 จุดที่กล่าวมา แต่ว่าอัตราจ่ายก็สูงถึง 1 : 18 เรียกได้ว่าทำกำไรกันแบบจุก ๆ ได้เหมือนกัน
Street
การเล่นในจุดนี้จะเป็นการเพิ่มโอกาสชนะโดยเราจะแทงพร้อมกัน 3 หมายเลขที่อยู่ติดกันในแนวตั้ง หรือที่เรียกกันว่าแทงคร่อม 3 เช่น 16, 17, 18 หากออกมาตรงกับกลุ่มเลขที่เราทายไว้ก็จะได้กำไรมากถึง 11 เท่า
Square
การทำกำไรในจุดนี้จะต้องแทงลงไปพร้อมกัน 4 หมายเลข โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นเลขที่อยู่ติดกันและมุมชนกันเหมือนสี่เหลี่ยม 4 อันเอามุมชนกัน แม้ว่าอัตราจ่ายของ Square จะลดลงเหลือแค่ 1 : 8 แต่ก็ยังเป็นที่นิยมกัน เพราะว่ามีความเสี่ยงกลาง ๆ โอกาสชนะมากกว่าแบบ Split และ Street
6 Line
รูปแบบการเล่นจุดนี้จะเหมือนกับการแทง Street 2 เส้นที่อยู่ติดกัน ข้อดีก็คือใช้ทุนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับโอกาสชนะที่เท่ากัน แต่ก็ต้องแลกกับอัตราจ่ายที่น้อยกว่ามาก ๆ หากชนะด้วย 6 Line จะได้รับกำไร 5 เท่า อาจจะน้อยไปสักนิดแต่ก็เสี่ยงน้อยตามไปด้วยเช่นกัน